ทุ่งกุลาร้องไห้
เป็นที่ราบขนาดใหญ่ มีพื้นที่ประมาณ 2 ล้านไร่ อยู่ในเขต จังหวัดสุรินทร์
(อำเภอชุมพลบุรี อำเภอท่าตูม) , จังหวัดมหาสารคาม
(อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย) , จังหวัดบุรีรัมย์ (อำเภอพุทไธสง) ,
จังหวัดศรีสะเกษ , จังหวัดยโสธร
(อำเภอมหาชนะชัย) และ จังหวัดร้อยเอ็ด (อำเภอปทุมรัตต์ อำเภอเกษตรวิสัย
อำเภอสุวรรณภูมิ และ อำเภอโพนทราย)
การที่ได้ชื่อว่าทุ่งกุลาร้องไห้ มีเรื่องเล่าสืบกันมาว่า
............กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว แถบทุ่งกุลาร้องไห้เคยเป็นทะเลสาบมาก่อน
ในสมัยนั้นมีเมืองสำคัญเมืองหนึ่งชื่อ จำปานาคบุรี เจ้าเมืองจำปานาคบุรีมีพระธิดาชื่อ นางแสนสี และมีพระนัดดาชื่อ นางคำแบง พระนางทั้งสองมีรูปร่างหน้าตาสวยงามเป็นที่เลื่องลือมีเมืองอีกเมืองหนึ่ง บูรพานคร เจ้าเมืองมีพระโอรสชื่อ
ท้าวฮาดคำโปง และพระนัดดาชื่อ ท้าวอุทร วันหนึ่งเจ้าเมืองทรงส่งพระโอรสและพระนัดดาไปเรียนวิชาด้วยกันที่สำนักอาจารย์แห่งหนึ่ง
เมื่อทั้งสองจวนจะสำเร็จวิชาอาจารย์ได้บอกให้ศิษย์ไปต่อสู้กับพญานาคซึ่งเป็นผู้ดูแลรักษาเมือง
จำปานาคบุรี เพื่อทดลองวิชาหากสามารถต่อสู้กับพญานาคทั้งฝูงได้ชัยชนะ ก็แสดงว่าเรียนสำเร็จวิชาแล้ว เมื่อท้าวฮาดคำโปง และท้าวอุทร
ลาอาจารย์ไปยังเมืองจำปานาคบุรี ทั้งสองก็ไม่ได้ทดลองวิชาแต่อย่างใดเพราะทราบข่าวว่า
เจ้าเมืองมีพระธิดาและพระนัดดามีรูปโฉมงดงามเป็นที่เลื่องลือ
ทำให้ต้องการได้พระนางมาเป็นคู่ครองจึงพยายามหาโอกาสพบพระนางทั้งสองให้จงได้
ในที่สุดพระองค์ก็ทราบจากชาวบ้านว่าทั้งสองพระองค์มักออกมาเล่นน้ำทะเลทุก
ๆ วัน จึงทรงวางอุบายดักพบพระนาง วันหนึ่งพระนางแสนสีและพระนางคำแบงทั้งสองพระองค์ได้ออกมาพายเรือเล่นทะเล
ท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรเห็นเป็นโอกาสเหมาะจึงเสกผ้าเช็ดหน้าให้เป็นเรือหงส์ทองลอยตามเรือของพระนางทั้งสองไป
และทันกันในที่สุด
ท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทร
ได้พูดเกี้ยวพระนางทั้งสอง พร้อมอ้อนวอนให้พระนางทั้งสองมาลงเรือของตน
พระนางแสนสีและพระนางคำแบง ทนต่อการอ้อนวอนไม่ไหว
จึงยอมทิ้งเรือแล้วพา จำแอ่น
ผู้ดูแลเรือมาลงเรือหงส์ทองด้วยกัน เมื่อข่าวนี้ทราบถึงเจ้าเมืองจำปานาคบุรี เจ้าเมืองได้ไปขอความช่วยเหลือจากพญานาคที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น
ให้มาช่วยกันดันพื้นบาดาลให้สูงขึ้นในบริเวณที่เจ้าเมืองขอร้องชั่วเวลาเดียวทะเลสาบที่เคยมีน้ำสุดลูกหูลูกตา
ก็แห้งขอด กลายเป็นทุ่งที่เวิ้งวาง กว้างใหญ่ ไม่มีต้นไม้สักต้นเดียว
ทำให้เรือของทั้ง ๕ คน แล่นต่อไปไม่ได้
ท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทรได้นำนางจำแอ่นไปซ่อนไว้ในป่าแห่งหนึ่งซึ่งต่อมาเรียกว่า
ดงจำแอ่น ส่วนพระนางแสนสีนำไปซ่อนไว้ที่ ดงแสนดี หรือ บ้านแสนสี ในปัจจุบัน
และนำพระนางคำแบงไปซ่อนไว้ในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ชื่อว่า ดงป่าหลาน (ปัจจุบัน คือ อำเภอพยัคฆภูมิพิสัย
จังหวัดมหาสารคาม)
ท้าวฮาดคำโปงและท้าวอุทร
ต่างก็หลงรักพระนางแสนสี
ทำให้เกิดความหึงหวงและต่อสู้กันอย่างดุเดือด
ท้าวอุทรได้ฆ่าท้าวฮาดคำโปงเสียชีวิต กลายเป็นผีเฝ้าทุ่งที่น่าขนลุกขนพอง ชาวบ้านแถบทุ่งกุลาร้องไห้เรียกว่า ผีโป่ง หรือ ผีทุ่งศรีภูมิ
เจ้าเมืองจำปานาคบุรีทรงทราบเรื่องราวต่าง ๆ จนหมดสิ้น จึงเสด็จออกตามธิดาและท้าวอุทรกลับมายังบ้านเมืองทรงมอบหมายให้ท้าวอุทรไปสร้าง
เมืองท้าวสาร (ปัจจุบัน คือ อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด)
เมื่อท้าวอุทรสร้างเมืองเสร็จท้าวจำปานาคบุรีก็ยกนางแสนสีธิดาของตนให้เป็นมเหสีแก่ท้าวอุทรอยู่มาวันหนึ่งมีพ่อค้าชาว
กุลา นำสินค้าจากอุบลราชธานี ศรีสะเกษ มาขายที่สุรินทร์
เมื่อขายสินค้าหมดจึงเดินทางมาซื้อครั่งที่อำเภอท่าตูม พ่อค้าชาวกุลาได้หาบครั่งข้ามแม่น้ำมูลเดินทางผ่านทุ่งอันกว้างใหญ่
ขณะหาบครั่งเดินอยู่กลางทุ่งนั้น
พ่อค้ามองเห็นเมืองป่าหลาน ซึ่งอยู่ห่างไกลมาก
แต่มองฝ่าเปลวแดดออกไปเห็นเสมือนว่าอยู่เพียงใกล้ ๆ จึงพากันเดินทางต่อไป โดยหารู้ไม่ว่า
ใกล้ตาแต่ไกลตีนประกอบกับเป็นช่วงฤดูแล้งหาน้ำที่จะดื่มและล้างหน้าก็ไม่มี พ่อค้าเหล่านั้นเหน็ดเหนื่อยอ่อนระโหยโรยแรงทั้งหิวข้าวและกระหายน้ำมาก
สุดที่จะทนได้ถึงกับร้องไห้ออกมาอย่างน่าเวทนาและเทครั่งทิ้ง
ณ ที่นั่น (ปัจจุบัน คือ บ้านดงครั่ง
อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด)
หลังจากนั้นชาวกุลาก็หาบตะกร้าเปล่าเดินทางต่อไป
จนพ้นทุ่งอันกว้างใหญ่ เดินต่อไปเรื่อย ๆ ก็พบหมู่บ้าน ๆ หนึ่ง
จึงชวนกันเข้าไปในหมู่บ้าน
ชาวบ้านเห็นพวกกุลาเข้ามาต่างก็เข้าใจว่ามีสินค้ามาขายให้พวกตนจึงพากันมามุงดูเพื่อจะขอซื้อสินค้าแต่พ่อค้ากุลาไม่มีสินค้าจะขายให้
พ่อค้ากุลาเหล่านั้นต่างหวนคิดถึงครั่งจำนวนมากที่พวกตนทิ้งไป ทั้งเสียดายและเสียใจยิ่ง
สุดที่จะกลั้นน้ำตาไว้ได้ถึงกับร้องไห้ออกมาต่อมาชาวบ้านทั้งหลาย
จึงเรียกทุ่งอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นว่า ทุ่งกุลาร้องไห้
เครดิต http://www.esanguide.com/guru/detail.php?id=399
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น